พอล เมอร์ฟี จาก ESPN วิเคราะห์ 3 สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคราเยวัช
ไฮท์ไลท์การแข่งขัน ไทย 1-1 ยูเออี
โค้ชคนใหม่ของไทย มิโลวาน ราเยวัช เชื่อมั่นในตัวผู้เล่นของเขาว่าจะสามารถทำผลงานได้ดีใน 2 นัดที่เหลือของฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกรอบสุดท้ายกลุ่ม B หลังจากยันเสมอกับทีมยูเออีได้ในกรุงเทพฯ เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา
ราเยวัชใกล้กับการสร้างประวัติศาสตร์ในการคุมทีมอย่างเป็นทางการครั้งแรก แต่ทีมช้างศึกต้องมาเสียประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ และได้ผลเสมอไปอย่างน่าเสียดาย
มงคล ทศไกรทำประตูให้ไทยขึ้นนำในนาทีที่ 69 ซึ่งหากรักษาสกอร์นี้ไว้ได้ ก็จะถือเป็นชัยชนะครั้งในรอบแบ่งกลุ่มของทีมชาติไทยในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกครั้งที่ 16 แต่น่าเสียดายที่คนไทยต้องมาเสียประตูจากการกดดันอย่างหนักในช่วงท้ายเกม เมื่อ อาห์เม็ด มัคคุท สังหารไม่พลาดในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 3 นาที ทำให้เสมอกันไป
แต่อดีตโค้ชกานา เปิดเผยว่า “ภูมิใจ” ในผลงานของลูกทีมของเขาแม้ว่าจะขาดผู้เล่นตัวหลักไปหลายคน
นี่คือ 3 สิ่งที่เราเห็นในการคุมทีมครั้งแรกของราเยวัช :
1. ให้ความสำคัญกับตัวระบบมากกว่าตัวผู้เล่น
ราเยวัชได้ปรับปรุงระบบเกมรับเพื่อป้องกันการเสียประตูง่ายๆ ซึ่งเป็นปัญหามาตลอดในช่วงฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก และจากการที่ไม่มีผู้เล่นอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธีรศิลป์ แดงดา, ทริสตอง โด, ธีราธร บุญมาทัน และกรวิทย์ นามวิเศษ โค้ชชาวเซอร์เบียก็มีข้อจำกัดในการจัดตัวผู้เล่น เขาได้จัดทีมในระบบ 4-2-3-1 ซึ่งดูเหมือนจะออกแบบเมื่อเพื่อการป้องกันมากกว่าที่จะใช้ในการโจมตี
ในช่วงที่อดีตนายใหญ่อย่างเกียรติศักดิ์ เสนาเมืองคุมทีม เขาได้ใช้ผู้เล่นที่มีพลังและสร้างสรรค์เกมได้ในพื้นที่กว้างๆ อย่างธีราธรและทริสตอง โด ขณะที่ชนาธิปใช้ทักษะในการลากเลี้ยงและเปลี่ยนจากรับให้เป็นรุกได้อย่างรวดเร็ว เมื่อขาดผู้เล่น 3 คนนี้แล้ว ราเยวัชจึงพยายามที่จะรักษาเสถียรภาพในแดนกลางและตำแหน่งอื่นๆ ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
โดยภาพรวมแล้วถือว่าเกมรับมีความมุ่งมั่นและมีสมาธิดี ราเยวัชหวังว่าจะมีผลงานที่ดีใน 2 นัดสุดท้าย ที่จะเปิดบ้านต้อนรับทีมอิรัก และไปเยือนออสเตรเลีย
“ผมรู้สึกภูมิใจ แต่ก็เสียใจที่เราไม่สามารถสร้างประวัติศาสตร์ได้” ราเยวัชกล่าว “พวกเราขาดผู้เล่นตัวหลักไปจำนวนหนึ่ง พวกเราเล่นกับทีมชั้นยอดและมีประสบการณ์มาก แต่เราก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราสามารถเล่นกับพวกเขาได้อย่างสูสี”
2. ผู้เล่นหน้าใหม่สามารถทดแทนกันได้
การทดแทนผู้เล่นระดับซุปเปอร์สตาร์ของไทยดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีอิทธิมากนักเมื่อพวกเขาต้องขาดผู้เล่นตัวหลักไป แต่ในความเป็นจริงก็คือพวกเขามีผลการแข่งขันในเชิงบวก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ไม่มีผู้เล่นหลักแต่ก็ยังมีผู้เล่นมากความสามารถคนอื่นๆ ในทีมชาติไทย
เป็นที่รู้ดีว่าโค้ชเกียรติศักดิ์มักจะใช้ผู้เล่นตัวหลักอย่างสม่ำเสมอ และมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะเดาว่าผู้เล่น 11 คนแรกที่จะลงสนามเป็นใครบ้าง
แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นในหลายตำแหน่ง แต่ก็มีผู้เล่นบางคนทำให้เห็นสัญญาณที่ดีจากผู้เล่นหน้าใหม่ที่เข้ามา เช่น ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ กองกลางตัวรับทำผลงานได้ไม่ดีนักในยุคของเกียรติศักดิ์ แต่สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพในเกมนี้
สรรวัตร เดชมิตร เป็นอีกคนที่ทำผลงานไม่ค่อยดีนักในยุคของเกียรติศักดิ์ แต่กองกลางแบงค็อก ยูไนเต็ดผู้นี้ทำผลงานได้น่าประทับใจในบทบาทเดียวกับชนาธิป
กองหลังเซนเตอร์อย่าง เฉลิมพง เกิดแก้ว ในที่สุดก็ได้รับโอกาสติดทีมชาติในวัย 30 ปี เขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังกับโอกาสที่ได้รับ เช่นเดียวกับ พรรษา เหมวิบูลย์ ที่เพิ่งจะได้รับบทบาทของเขาในระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกในวัย 26 ปี
เกียรติศักดิ์นั้นจะเน้นไปในเรื่องของผู้เล่นเยาวชนและการใช้ผู้เล่นตัวหลักชุดเดิมซึ่งก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าราเยวัชจะมีขอบข่ายของผู้เล่นที่กว้างกว่าเล็กน้อย
3. กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์สวมปลอกกัปตันทีม
การขาดกัปตันอุ้ม ธีราธร บุญมาทัน และกัปตันบางครั้งคราว อย่างธีรศิลป์ แดงดา ก็เปิดโอกาสให้กวินทร์ ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม ภายใต้การคุมยุคใหม่นี้ จะต้องมีการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่และใครจะได้รับความไว้วางใจจากราเยวัช
กวินทร์ แสดงให้เห็นว่าบทบาทของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจด้วยการป้องกันประตูสำคัญๆ ได้ในหลายๆ จังหวะ และผู้รักษาประตูวัย 27 ปีได้พิสูจน์ตัวเองอย่างต่อเนื่องว่าเขาคือหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในภูมิภาค
จากประเด็นของพฤติกรรมของธีราธรกับทีมสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ราเยวัชจะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตำแหน่งกัปตันทีม
“อย่างที่คุณรู้ว่า ธีราธรไม่ได้เล่นในเกมนี้เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถใช้งานเขาได้” ราเยวัชกล่าวกับ ESPN FC “ผมจึงตัดสินใจว่ากวินทร์น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในฐานะกัปตันทีมเพราะว่าจำเป็นต้องมีความเป็นผู้นำและผมก็มีความสุขมากกับผลงานของเขา”
ความท้าท้ายต่อไปของราเยวัช คือรายการคิงส์คัพในเดือนกรกฎาคม ก่อนที่จะแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2 นัดสุดท้ายในเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายน
ข่าวโดย Paul Murphy ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลา 9 ปี และเขียนข่าวให้กับ ESPN ตั้งแต่ปี 2014 เคยเป็นผู้เขียนข่าวในสำนักข่าว Daily Express (UK)
ที่มา ESPN
เข้าสู่หน้าหลัก >>>ejcomment.com
ไม่อยากพลาดข่าวสารและบทความดีๆ … อย่าลืมกดติดตามด้วยนะจ๊ะ ^^
Leave a Comment